อย่าดับเบิลสแตนดาร์ด

ในที่สุดคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก็ลงดาบอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 หลังจากมีการเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของ คตส.มา 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย

ด้วยการออกคำสั่ง 2 ฉบับ คำสั่งแรกให้อายัดบัญชีเงินฝากที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่กลุ่มเทมาเซก 21 บัญชี ทั้งในชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คุณหญิงพจมาน บุตร และญาติ คำสั่งที่ 2 ให้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ทุกบัญชีเงินฝากและทุกสถาบันการเงิน

คตส.ให้เหตุผลการอายัดทรัพย์ว่า เพราะผลจากการตรวจสอบและ ไต่สวนในคดีต่างๆ ของ คตส.นั้นมีพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กับพวก ได้ทุจริตประพฤติมิชอบและร่ำรวยผิดปกติ ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อกิจการของบริษัท ชินฯ และมีพฤติกรรมทุจริตในโครงการอื่นๆ อีก 5 คดี ที่ทำให้รัฐเสียหาย และพบว่ามีการยักย้ายถ่ายโอนเงินออกไปจนเหลือ 5.28 หมื่นล้านบาท จาก 7.3 หมื่นล้านบาท

ในแง่การดำเนินการตรวจสอบเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของรัฐนั้น คตส.มีเหตุผล 100% ในการดำเนินการ

แต่สิ่งที่ คตส.จักต้องชี้แจงความจริงออกมาให้สาธารณะรับรู้คือ การดำเนินการดังกล่าวมีใบสั่ง หรือเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดแฝงเร้นอยู่หรือไม่ เพราะช่วงจังหวะนั้นผิดปกติไม่น้อย

ขณะเดียวกัน คตส.เองก็ต้องอธิบายต่อสาธารณะเช่นกันว่า ผลการตรวจสอบในกรณี 5 โครงการที่ คตส.อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกมีพฤติกรรมทุจริตและประพฤติมิชอบและสร้างความเสียหายต่อรัฐนั้น ผลการสอบสวนเป็นอย่างไร หากหลักฐานเพียงพอ ทำไมยังไม่มีการส่งเรื่องให้อัยการฟ้องร้องต่อศาล เพราะที่ผ่านมาการตรวจสอบของ คตส.นั้นยังไปไม่ถึงไหนแม้แต่คดีเดียว ยกเว้นเรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ป หลายโครงการเสนอเรื่องเพื่อขอมติจากที่ประชุมใหญ่แล้วก็ถูกสั่งให้ตรวจสอบในชั้นอนุกรรมการเพิ่มเติม ยังไม่มีคดีใดเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรมสากลแม้แต่คดีเดียว

ไม่มีใครปฏิเสธอำนาจและหน้าที่ของ คตส.ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการกระทำใดๆ ของบุคคลที่เห็นว่าเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือกระทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐแล้วทำการอายัดทรัพย์ไว้ก่อนแล้วให้เจ้าของทรัพย์มาชี้แจงที่ไปที่มาของทรัพย์ได้

แต่ต้องไม่ลืมว่า เงิน 7.3 หมื่นล้านบาทนั้นมีที่มาที่ไปในสิทธิแห่งทรัพย์ของคนในครอบครัวชินวัตรที่ชัดเจนว่ามาจากการขายหุ้นออกไป มิใช่ได้มาจากการทุจริตหรือรับเงินใต้โต๊ะแต่อย่างใด หาก คตส.ไม่เร่งสรุปผลใน 5 คดีที่กล่าวอ้างและสารพัดข้อหาที่กำลังสอบสวนอยู่ให้เป็นที่ประจักษ์ของสังคม คมหอกปลายดาบจะพุ่งไปยัง คตส.และ คมช.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้ง หรือเพื่อหวังผลทางการเมืองเพื่อเชือด พ.ต.ท.ทักษิณโดยเฉพาะ นอกจากนี้ คตส.ต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบเงินที่หายไปกว่า 2 หมื่นล้านบาทด้วยว่าหายไปไหน ยังอยู่ในเมืองไทยหรือไหลออกนอก

ประการต่อมา คตส.จักต้องสร้างมาตรฐานในการปฏิบัติกับประดานักการเมืองอื่นๆ นอกเหนือจาก พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวที่เข้าไปเกี่ยวพันกับ 5 โครงการที่ คตส.กล่าวโทษเพราะ “มีหลักฐานเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ” พ่วงเข้าไปด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิด 2 มาตรฐานในการปฏิบัติของรัฐ

การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐนั้นต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน ถ้าอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องหาทางอายัดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องกับคดีกล้ายาง, ซีทีเอ็กซ์ 9000, หวย 3 ตัว 2 ตัว, การปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยด้วย หรือกลุ่มบุคคลอื่นๆ ไม่มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนแม้แต่บาทเดียว

ทีมา โพสต์ ทูเดย์

ใส่ความเห็น