“สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” แท้หรือเทียม

อ่านบทความของประดาบ ทีทุกตัวละครที่กล่าวถึงต้อง”หนาว” แล้วลองลองไตร่ตรอง ทบทวนเหตุการณ์ ที่ผ่านมา จะทำให้เห็นอีกมุมหนึ่ง ของคุณสุรเกียรติ์ ที่ซ่อนอยู่เบื้องลึก ที่ประชาชนทั่วไปไม่ได้รับรู้ แต่ต้องยอมรับว่าท่านเป็นอีกคนหนึ่งที่มีบทบาท ในรัฐบาลที่ผ่านมาภายใต้การนำ ของ พล.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ในขณะเดียวกัน ช่างเหมือนกับเรื่องราวในเขมร ที่วิจิตรา-หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ได้เขียนให้สุรเกียรติ์ อ่านโดยเฉพาะ ในสกู๊ป “เจ้าตั้งพรรคการเมือง”

สุรเกียรติ์ ผู้ดึงฟ้าต่ำ

โดย “ประดาบ” ไฮ-ทักษิณ

นายกฯทักษิณ ชินวัตร คงจะนึกไม่ถึงว่าคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะกลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เพราะถูกโจรในเครื่องแบบทหารปล้นตำแหน่ง ที่ประชาชนมอบให้ จะมาเป็นหอกข้างแคร่ ทิ่มตำตัวเองอยู่ทุกวัน            

สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายต่างประเทศ ที่อยู่ข้างกายนายกฯทักษิณ ในที่ประชุมสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เพราะกำลังอยู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการแย่งชิงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ ระหว่างเขา กับ นายบัน คี มุน คู่ชิงจากเกาหลีใต้            

สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นคนที่แนะนำให้นายกฯทักษิณ ยอมจำนนต่อการรัฐประหาร โดยอ้างว่าได้รับข้อมูลจาก “ฟ้าเบื้องบน” จึงทำให้นายกฯทักษิณ ที่เตรียมแสดงสุนทรพจน์ในเวทีสหประชาชาติ ต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะต่อสู้กับคณะรัฐประหาร และยอมที่จะไม่กล่าวสุนทรพจน์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย           

หลังการรัฐประหารสิ้นสุดลงหมาดๆ นักวิเคราะห์ของสำนักข่าวต่างประเทศ วิเคราะห์ไปในแนวทางเดียวกันว่า หากนายกฯทักษิณ ไม่ปล่อยโอกาสแสดงสุนทรพจน์ในเวทีสหประชาชาติ หลุดลอยไป การเมืองไทยก็จะพลิกโฉมไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของคณะรัฐประหาร เช่นทุกวันนี้            

เนื่องเพราะ ณ วันที่ 19 กันยายน 2549 ในเวทีสหประชาชาติ ให้การยอมรับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย เพียงคนเดียว เท่านั้น สหประชาชาติ ไม่ได้ให้การยอมรับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. เป็นผู้นำประเทศไทย            

ดังนั้น หากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้โอกาสที่อยู่ในเวทีสหประชาชาติ กล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งแน่นอนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องยืนยันสถานภาพตนเอง ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย และเรียกร้องให้สหประชาชาติ พิจารณาการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศของไทย ด้วยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ก็จะทำให้การรัฐประหารในประเทศไทย และ คปค. อยู่ในสถานะที่ลำบาก ถูกต่อต้านจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ทันที และเหตุการณ์ในประเทศไทย จะเลวร้ายมากขึ้นไปอีก หากว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เวทีที่ประชุมสหประชาชาติ ประกาศจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และขอให้สหประชาชาติสนับสนุน ด้วยเหตุผลว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย            

แต่ด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และ ความรัก ความห่วงใยที่มีต่อประเทศไทยอันเป็นแผ่นดินเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ จึงกล้ำกลืนฝืนทน ยอมจำนน และก้มหน้ารับความพ่ายแพ้ ทั้งๆ ที่มีศักยภาพ มีความพร้อม และมีความได้เปรียบที่จะต่อสู้กับคณะรัฐประหาร ได้อย่างสบายๆ เพราะหลงเชื่อ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ซึ่งอยู่ใกล้ตัวในขณะนั้น ที่อ้างว่าได้รับข้อมูลจาก “ฟ้าเบื้องบน” และคิดแล้วว่าหากประกาศสู้ในเวทีสหประชาชาติ ก็จะทำให้ประเทศไทย บอบช้ำ และประชาชนต้องได้รับความเดือดร้อน เสียหาย ผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย หลายร้อยคนต้องตกอยู่ในอันตราย           

พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเลือกที่จะรับความทุกข์ ความเดือดร้อน และความเสียหาย ไว้แต่เพียงคนเดียว เพราะคิดดีแล้วว่ายอมเจ็บคนเดียว เพื่อประเทศชาติอยู่รอด และประชาชนปลอดภัย น่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน ยามนั้น            

แต่เวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ คงประจักษ์แล้วว่า “คิดผิด” เพราะหลงเชื่อคนผิด และได้รับข้อมูลผิด ในภาวะที่ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุด           คิดผิด ว่า หากยอมเสียสละยอมรับความเจ็บปวดคนเดียว ประเทศชาติจะไม่บอบช้ำ ประชาชนจะไม่ตกระกำลำบาก เช่นทุกวันนี้

แต่สถานการณ์ในประเทศไทย กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เพราะทุกคนที่เกี่ยวข้อง พัวพันกับนายกฯทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ได้รับผลกระทบกันทั่วหน้า แม้แต่ พรรคไทยรักไทย ก็ถูกยุบ กรรมการบริหารพรรค 111 คน ถูกตัดสิทธิทางการเมืองทั้งหมด นโยบายสำคัญๆ ของรัฐบาลไทยรักไทย ถูกรื้อ และทอดทิ้ง เช่น กองทุนหมู่บ้าน OTOP กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา หวยบนดิน ฯลฯ ประเทศชาติเสียหายย่อยยับ ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส           

หลงเชื่อคนผิด คิดว่า สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นคนที่รู้จักบุญคุณคน และจะไม่ทรยศหักหลัง เพราะให้การสนับสนุน มอบความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ทั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ รองนายกรัฐมนตรี แต่ในภาวะวิกฤต สุรเกียรติ์ เลือกที่จะเอาตัวรอดเพียงคนเดียว โยนความผิดให้นายกฯทักษิณ ปั้นข้อมูลเท็จใส่ร้าย เพื่อให้คณะรัฐประหารพึงพอใจ            

ได้รับข้อมูลผิด ติดกับดัก “ข่าวเท็จ” ที่สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ป้อนให้ ว่า “ฟ้าเบื้องบน” บอกให้ยอมแพ้ แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงเห็นชอบกับการรัฐประหาร และไม่โปรดคณะรัฐประหาร ดังเห็นได้จากการไม่พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจุลจอมเกล้าวิเศษ แก่ นายทหารที่ทำการรัฐประหาร และ ภริยา แม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพในอดีต และภริยา เกือบทุกคนจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณ           

กล่าวได้ว่า สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นคีย์แมนคนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อ การตัดสินใจของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยการอ้างถึงสถานะของตนว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นที่โปรดปรานพิเศษของ “ฟ้าเบื้องบน”            

สุรเกียรติ์ เสถียรไทย มักจะใช้สถานะ “หลานเขย” ต่อรองตำแหน่งทางการเมือง ได้มาหลายครั้งหลายหน เพราะมีคนหลงเชื่อ และครั้งนี้ นายกฯทักษิณ ก็เป็นอีกคนที่หลงเชื่อ            

สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นลูกชายกึ่งลูกสาว ของ นายสุนทร เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก่อนหน้าจะเข้าสู่วงการเมือง เคยเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลง กรณ์มหาวิทยาลัย สำนักเดียวกับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และ วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี สองเนติบริกร ผู้ทรยศต่อนายกฯทักษิณ ชินวัตร ด้วยการขายความลับให้กับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มาโดยตลอด            

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจกระไรเลย หากจะทราบข้อมูลในภายหลังว่า สุรเกียรติ เสถียรไทย ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ทรยศหักหลังนายกฯทักษิณ ด้วยเช่นกัน           

การให้ข้อมูลเท็จต่อคตส. ใส่ร้ายนายกฯทักษิณ ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีแทรกแซงและสั่งการให้ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออก หรือ เอ็กซิมแบงก์ ปล่อยกู้ให้แก่รัฐบาลพม่า เกินวงเงินที่ธนาคาร อนุมัติไว้แล้ว อีก 1,000 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องนำเงินกู้มาเช่าช่อง สัญญาณดาวเทียมไทยคม เป็นเรื่องที่นายกฯทักษิณ ชินวัตร คาดไม่ถึงว่า คนอย่างสุรเกียรติ์ เสถียรไทย จะกล้ากระทำ และกล้าโกหก เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันและกระทบถึงรัฐบาลพม่า            

ทั้งๆ ที่ โดยข้อเท็จจริงแล้ว บอร์ดของธนาคาร เป็นผู้พิจารณาโดยอิสระ และไม่มีเงื่อนไขการให้เงินกู้ว่าต้องกลับมาเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม หรือซื้อสินค้าและบริการของบริษัทในเครือชินคอร์ป รัฐบาลพม่า มีอิสระในการตัดสินใจด้สนตนเอง โดยที่ไม่มีใครไปแทรกแซงได้            

เหตุผลที่สุรเกียรติ์ เสถียรไทย โกหกเรื่องการปล่อยสินเชื่อแก่รัฐบาลพม่า และใส่ร้ายนายกฯทักษิณ มีอยู่ 3 ประการคือ            

1. เพื่อทำให้ข้อกล่าวหาของคตส. ว่านายกฯทักษิณ ทุจริต ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ           

2. เพื่อให้เหตุผลในการก่อการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มีความน่าเชื่อถือ            

3. เพื่อเป็นการส่งนายกฯทักษิณ ขึ้นสู่ศาลแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในฐานะจำเลย และมีจุดหมายปลายทางที่เรือนจำในฐานะนักโทษ           

สุรเกียรติ์ เสถียรไทย กล้ากระทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ แน่นอนเหลือเกินว่าย่อมต้องมีเดิมพันสูง ไม่เช่นนั้นก็ต้องได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งหาคำตอบกันอยู่นานว่า อะไรคือแรงจูงใจในการโกหกระดับชาติครั้งนี้            

ก่อนจะคุยเรื่องแรงจูงใจของสุรเกียรติ์ ที่กระทำต่อนายกฯทักษิณ ควรจะต้องทราบก่อนว่าพฤติกรรมเยี่ยงนี้ มิใช่ครั้งแรกที่สุรเกียรติ์ เสถียรไทย กระทำ ย้อนกลับเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ขณะ นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา ว่ากันว่า มีข้อมูลลับเกี่ยวกับสถานะการเงินของธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ หรือ บีบีซี หลุดออกจากกระทรวงการ คลัง ไปถึงมือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในขณะนั้น แล้วกลับมาเป็นดาบเล่มใหญ่ฟาดใส่นายบรรหาร ศิลปอาชา จบแทบตายคาสภาฯ มาครั้งหนึ่งแล้ว            

การอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์ ว่าด้วยประเด็นปัญหาสถานะที่ง่อนแง่นของ บีบีซี ในครั้งกระนั้น เป็นที่ผิดสังเกตอย่างมากของผู้คนในพรรคชาติไทย ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ ใช้ข้อมูลลับชิ้นนั้น ถล่ม นายบรรหาร ศิลปอาชา และ นักการเมืองกลุ่ม 16 เป็นเป้าหลัก จนเลือดสาด แต่กลับปล่อยให้สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ลอยนวล ไม่ระคายแม้แต่ผิวให้ช้ำเขียว            

จากการสืบสวนของนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งเป็นนักการเมืองที่มีเครือข่ายโยงใยไปทั่วทุกวงการ จึงทราบว่าข้อมูลลับที่ออกไปจากกระทรวงการคลัง ถึงพรรคประชาธิปัตย์ แต่ กลับมาไม่ถึงนายกรัฐมนตรี นั้น เป็นฝีมือของสุรเกียรติ์ เสถียรไทย นั่นเอง           

หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่นานนัก บรรหาร ศิลปอาชา ก็ปลดสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และห้ามสุรเกียรติ์ ในฐานะหัวหน้าคณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทย เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพรรคชาติไทยอีกนับแต่นั้นเป็นต้นมา             

พฤติกรรมทางการเมืองของสุรเกียรติ์ เสถียรไทย 2 ครั้ง 2 ครา ที่ทำให้นายกรัฐมนตรี 2 คนถึงกับปางตาย เช่นนี้ จึงเป็นพฤติกรรมที่เรียกได้ว่า “ขายชีวิตนาย” เพื่อให้ตนเองอยู่รอด มิใช่ “ขายชีวิตให้นาย” เพื่อให้นายอยู่รอด            

การพัฒนาของการเมืองไทยในระยะเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้ให้คำตอบแล้วว่า ทำไมสุรเกียรติ์ เสถียรไทย จึงอยากให้นายกฯทักษิณ มีจุดจบในเรือนจำ ก็เพราะเขาต้องการที่จะก้าวขึ้นตำแหน่งผู้นำทางการเมืองของประเทศไทย นั่นเอง           

พรรคเพื่อแผ่นดินไทย ที่จะเปิดตัวใน 1 – 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นตัวตั้งตัวตีที่จะทำให้เกิดพรรคการเมืองใหม่พรรคนี้ขึ้นในประเทศไทย และก็เช่นเคย มีการยกสถานะ “หลานเขย” มาดึงดูดนักการเมืองที่กำลังวิ่งกันพล่านสับสนอลหม่านกันไปหมด ให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน โดยอ้างว่าได้รับข้อมูลจาก “ฟ้าเบื้องบน” อีกเช่นเคย และคราวนี้ไปไกลถึงขนาดได้รับการสนับสนุนเป็นทรัพย์สินเงินทอง มาจำนวนหนึ่งด้วย            

ริงเท็จอย่างไร ใครจะพิสูจน์ ก็ยากจะทราบผลว่าเท็จหรือจริง แต่ที่เป็นจริงแน่แท้ในเวลานี้ ก็คือ ทุกพฤติกรรม ทุกคำพูดของสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ได้ทำความเสื่อมเสียไปถึง “ฟ้าเบื้องบน” ที่ถูกดึงเข้ามายุ่งเกี่ยว บงการ และชี้นำ การเมือง ซึ่งพฤติกรรมของสุรเกียรติ์ ในขณะนี้ ไม่ต่างจากการ “ดึงฟ้าต่ำ” และกำลังจะ “ทำหินแตก” ไปถึงขั้น “แยกแผ่นดิน” แน่ๆ หากยังไม่หยุดแอบอ้าง “ฟ้าเบื้องบน” เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง            

มีคำถามตามมาว่า สุรเกียรติ์ เป็น 1 ใน 111 คน ที่ติดชนักต้องโทษการเมือง ถูกตัดสิทธิ 5 ปี จะมีโอกาสเป็นผู้นำการเมืองไทย ได้อย่างไร คำถามนี้ตอบไม่ยาก เพราะจะมีการนิรโทษกรรม อย่างแน่นอน แต่ ที่ไม่แน่นอน คือ อาจจะมีการเลือกปฏิบัติ นิรโทษกรรมบางคน ไม่นิรโทษกรรมบางคน ก็เป็นได้            

ทั้ง 111 คน ที่กำลังต้องโทษอยู่ในขณะนี้ ต่างก็รู้กันดีว่า หากนิรโทษกรรมทั้งหมด 111 คนวันใด นายกฯทักษิณ กลับเมืองไทยวันไหน ประชาชน ก็จะเรียกร้องให้กลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง และยังไม่รู้ว่านายกฯทักษิณ จะบอกปัดความรักความต้องการของประชาชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองบางคน จึงคิดหาวิธีตอกตะปูตัวสุดท้าย ด้วยการส่งนายกฯทักษิณ เข้าสู่เรือนจำ ดังที่สุรเกียรติ์ กำลังกระทำนี่เอง            

แต่ทว่า… ก่อนจะเชื่อ ก่อนจะเดินตามกันไป ต้องพินิจพิจารณากันให้ดีว่า สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็น ของแท้ ใช่ ของจริง หรือไม่ สถานะพิเศษ ที่ว่าเป็น “หลานเขย” นั้น ต้องสืบกันให้ชัด สอบกันให้แจ้งว่า ที่ว่าพิเศษนั้น โปรดเป็นพิเศษ หรือ ชังเป็นพิเศษ            

เพราะแม้แต่ ผู้ที่ทำให้สุรเกียรติ์ มีสถานะ “หลานเขย” ก็ยังไม่โปรด สุรเกียรติ์ แม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่ไม่โปรด ยังไม่คิดอยู่หอร่วมห้อง ไม่ยอมหลับนอนอยู่เรือนเดียวกัน ด้วยเหตุที่ไม่แน่ใจว่า สุรเกียรติ์ เลือกและรักที่จะเป็นอะไรกันแน่ ระหว่าง สามี กับ ภรรยา            

ฉายา “ป้าแมรี่” ที่มีผู้เรียกขานนั้น ยิ่งนานวัน ยิ่งทำให้เดาเป็นผู้อื่นยาก และจำกัดวงให้คาดเดาชื่อเหลือน้อยลงทุกที แต่ทุกทีที่คาดเดาจะต้องมี สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อยู่ในนั้นด้วย            

ฤาว่า การเมืองไทยยุคต่อไป จะไม่ใช่ยุคของ ชายจริง หญิงแท้ อีกแล้ว           เหมือนกับ กองทัพในห้วงเวลากว่าสามสิบปีที่ผ่านมา ก็เป็นกองทัพภายใต้อาณัติของชายไม่จริง หญิงไม่แท้ เช่นเดียวกัน           

นึกเล่นๆ ถึงวันที่ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นผู้นำประเทศ แล้วไปปรึกษาหารือกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ คนที่กองทัพนับถือว่าเป็น “ป๋า” แล้ว ก็คงสนุกพิลึก            ป้า กับ ป๋า เจรจากัน บทสนทนาคงจะ วี๊ดว๊ายกระตู๊วู๊ น่าดูชมเชียวล่ะ คุณๆ ทั้งหลาย            แค่นึก ก็สนุกแล้วล่ะ … จริงมั๊ยฮ๊า ป้าแมรี่

ใส่ความเห็น